จากข้อมูลของอนามัยโพลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวันของคนไทย พบว่าการใช้พลาสติกมีแนวโน้มที่สูงขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่ยังคงใช้พลาสติกในชีวิตประจำวัน ซึ่งเกือบ 49% ของผู้ตอบแบบสำรวจใช้พลาสติกอย่างน้อย 1-2 ชิ้นต่อวัน โดยพลาสติกที่ใช้บ่อยที่สุดคือถุงพลาสติกหูหิ้ว (72.6%) ตามมาด้วยขวดน้ำพลาสติก (57.7%) และหลอดพลาสติก (43.5%) นอกจากนี้ยังพบการใช้พลาสติกประเภทกล่องข้าวและอุปกรณ์พลาสติกอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (อนามัยโพล, 2020)
ปัญหาขยะพลาสติกเป็นหนึ่งในวิกฤตที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ขยะพลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติหรือไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้กลายเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขโดยด่วน โดยเฉพาะในชุมชนที่ขาดระบบจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ พลาสติกที่ถูกทิ้งมักทำให้เกิดมลพิษในสิ่งแวดล้อม ทั้งในดิน น้ำ และอากาศ และยังเป็นอันตรายต่อสัตว์และระบบนิเวศ เช่น การติดอยู่ของพลาสติกในสัตว์น้ำ ซึ่งมีผลกระทบถึงห่วงโซ่อาหารมนุษย์ ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (UNEP) พบว่าในปี 2018 มีขยะพลาสติกประมาณ 9 ล้านตันที่ถูกทิ้งในทะเล ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศทั้งทางทะเลและชายฝั่ง (UNEP, 2018)
การกำจัดขยะพลาสติกที่ไม่ถูกต้อง เช่น การเผาขยะพลาสติก สามารถปล่อยสารพิษอันตราย เช่น ไดออกซินและฟูแรน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและมีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ (WHO, 2016)การที่ขยะพลาสติกไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ไม่เพียงแต่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย ยังทำให้เกิดภาวะวิกฤติทางพลังงานในบางพื้นที่ที่มีการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งที่ไม่สะอาด และเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง การแก้ปัญหาขยะพลาสติกและการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืนจึงเป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไข เพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ
โครงการนี้จึงมุ่งเน้นการให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับการจัดการขยะพลาสติกและการใช้เทคโนโลยีในการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นพลังงาน โดยมีการฝึกอบรมในระดับท้องถิ่นเพื่อให้ชุมชนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาและจัดการทรัพยากรของตนเองได้อย่างยั่งยืน อีกทั้ง การใช้ขยะพลาสติกในการผลิตพลังงานจะสามารถช่วยให้ชุมชนลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งภายนอก และสร้างแหล่งพลังงานทดแทนที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและมีประโยชน์สำหรับชุมชนได้ในระยะยาว
ภาคการศึกษาที่ 1/2568